
หลายๆท่านคงกำลังพบปัญหาใต้ตาคล้ำ-ดำกันอยู่ใชไหมครับ แล้วทราบกันไหมครับว่าขอบตาดำนี้เกิดจากอะไร? วันนี้ผมมีคำตอบมาเล่าให้ฟังกันครับ
อาการขอบตาดำอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกันครับ ทั้ง ฮอร์โมน อาการเจ็บป่วย รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน ฯลฯ หรือบางคนอาจจะเกิดทุกอย่างรวมกันเลยก็ได้นะครับ! ปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดอาการใต้ตาดำได้มีดังนี้ครับ
ถุงใต้ตาหย่อน
เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ถุงใต้ตาอาจจะหย่อนคล้อยมากขึ้นเนื่องจากคอลลาเจนและไขมันใต้ดวงตานั้นเสื่อมลง โดยอาการเสื่อมของผิวบริเวใต้ตานี้อาจทำให้เกิดความหย่อนของถุงใต้ตา เวลาแสงตกกระทบจะทำให้เกิดเงาใต้ตาเหมือนมีรอบคล้ำใต้ตาได้นั่งเองครับ หรือบางท่านที่ไม่ได้มีถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อยตามอายุ ผิวหนังใต้ตาอาจจะบางลง ทำให้มองเห็นสีของเส้นเลือดดำใต้ตา หรือกล้ามเนื้อรอบดวงตาได้ชัดขึ้น เกิดเป็นรอยคล้ำใต้ด้วงตานั่นเองครับ
พักผ่อนน้อย
ข้อนี้หลายๆท่านคงทราบดีอยู่แล้วใช่ไหมครับ ว่าการนอนน้อยทำให้ดูตาคล้ำ รวมทั้งตาลึก โบ๋ นั่นก็เพราะเมื่อเราพักผ่อนน้อยนั้น ทำให้ดวงตาเราบุ๋มลึกลง พร้อมกับเส้นเลือดใต้ตาจะขยายขึ้น สีของเลือดใต้ตาจะทำให้ใต้ตาเราดูคล้ำนั่นเองครับ นอกจากนี้ การนอนน้อยๆจะทำให้ใต้ตาเราบวมขึ้น ทำให้มีถุงใต้ตาใหญ่ขึ้นได้อีกด้วยนะครับ
ภูมิแพ้
อาการภูมิแพ้ขึ้นตาจะทำให้ระคายเคืองดวงตาและเผลอไปขยี้ตาได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เส้นเลือดใต้ตาขยายใหญ่ขึ้นและทำให้ขอบตาดำนั่นเองครับ อีดอย่างคือ อาการคัดจมูกบ่อยๆจากภูมิแพ้อาจทำให้เส้นเลือดบริเวณดวงตาและจมูกไหลเวียนไม่สะดวกจึงบวมขึ้นจนทำให้ผิวบริเวณใต้ดวงตาดำคล้ำขึ้นได้เช่นกันครับ
บุหรี่และแอลกอฮอลล์
การสูบบุหรี่นั้นจะทำให้ร่ายกายของคุณได้รับออกซิเจนน้อยลงซึ่งส่งผลให้เลือดของคุณมีสีดำคล้ำมากขึ้นครับ ทำให้คนี่มีผิวบางดูใบหน้าหมองคล้ำและใต้ตาคล้ำขึ้นอีกเช่นกันครับ ส่วนแอลกอฮอลล์นอกจากจะทำให้ร่ายการของคุณขาดน้ำ เนื่องจากการนำแอลกอฮอลล์ออกจากร่างกายจำเป็นต้องใช้น้ำเป็นตัวช่วยขับออกแล้ว แอลกอฮอลล์ยังส่งผลให้เส้นเลือดของคุณขยายตัว ทำให้สีผิวใต้ตาของคุณคล้ำลงได้อีกเช่นกันครับ
แสงแดด
ต่างจากข้ออื่นครับ แสงแดดไม่ได้ทำให้เส้นเลือดใต้ตาของคุณขยายและทำให้เกิดใต้ตาดำ แต่แสงแดดจะทำให้คุณเป็นฝ้า โดยการกระตุ้นเม็ดสีบริเวณผิวกหนังของคุณ เกิดเป้นรอยดำขึ้นได้ครับ วิธีป้องกันก็ไม่ยากครับ เพียงทาครีมกันแดดทุกๆครั้งที่จะต้องตากแดดหรือออกนอกบ้าน โดยถ้าหากคุณจำเป็นต้องโดนแดดนานกว่า 2 ชั่วโมงคุณควรมีการเติมครีมกันแดดทุก 2 ชั่วโมงเพื่อคงสภาพการป้องกันของครีมกันแดดไว้นั่นเองครับ
แล้วถ้ามีใต้ตาคล้ำล่ะ ควรรักษาอย่างไร?
อย่างที่เราทราบกันแล้วครับ ขอบตาดำนั้นมีหลายสาเหตเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการรับมือปัญหาขอบตาดำที่ดีที่สุดคือการแก้ตามสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยคล้ำรอบดวงตาของแต่ละคนนั่นเอง โดยอาจแก้ไขได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นสาเหตุนั่นเองครับ เช่น
จัดการกับความเครียด เนื่องจากความเครียดอาจส่งผลให้มีปัญหาในการนอน การจัดการความเครียดและหาวิธีผ่อนคลายก็อาจช่วยให้นอนหลับสบายและพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ, ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย, หลีกเลี่ยงแสงแดด, จัดหมอนหนุนรองนอนให้สูงขึ้น หรือหาหมอนใบอื่นมาหนุุนเพิ่ม เพื่อช่วยลดปริมาณของเหลวที่สะสมอยู่บริเวณใต้ตาระหว่างนอนหลับ, ประคบเย็น โดยใช้ผ้าแช่เย็นหรือแตงกวาหั่นแว่นแช่เย็นมาประคบบริเวณดวงตาและขอบตา ซึ่งความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดเล็กลง ทำให้ปัญหาขอบตาคล้ำทุเลาลงได้นั่นเอง, ใช้ยาต้านฮิสตามีนเพื่อรักษาอาการแพ้ เลิกดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ เป็นต้นครับ
แต่สำหรับคนที่มีขอบตาดำเพราะอายุมากขึ้นก็อาจจัดการโดยวิธีข้างต้นได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากผิวหนังที่เสื่อมไปแล้วจะฟื้นฟูกลับมาค่อนข้างยากครับ เราจึงมี…
การรักษาขอบตาดำด้วยวิธีทางการแพทย์
สมัยนี้ เรามีเครื่องมือทางการแพทย์มากมาย ที่สามารถรักษารอยคล้ำใต้ดวงตาได้ครับเช่น
การใช้ ศัลยกรรมเลเซอร์ โดยยิงเลเซอร์เพื่อกระชับผิวหนังที่หย่อนยาน กำจัดผิวหนังส่วนเกินของถุงใต้ตา และทำลายเม็ดสีบริเวณใต้ดวงตาที่เป็นรอยดำคล้ำ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีเพียงแต่เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูง และเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นและติดเชื้อ อีกทั้งอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก และใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟื้นตัว
อีกวิธีที่ใช้กันแพร่หลายก็คือการ ฉีดฟิลเลอร์ ครับ เป็นวิธีที่อาจช่วยปกปิดความคล้ำของเม็ดสีและเส้นเลือดใต้ผิวหน้าด้วยการฉีดสารเติมเต็มซึ่งสกัดจากธรรมชาติ เติมเต็มรองลึกใต้ดวงตาและทำให้รอยดำจางลงได้ โดยจะมีแผลที่เล็ก พักฟื้นน้อยถึงไม่ต้องพักฟื้นเลย มีอายุอยู่ได้ได้นาน ถึง 1 ปี แต่ก็มีข้อด้อยคืออาจมีอาการบวมช้ำได้ช่วงหนึ่งนั่นเองครับ
วิธีที่ผมใช้กับคนไข้บ่อยๆก็คือ การร้อยไหมใต้ตา ครับ การร้อยไหมใต้ตา เป็นการใช้ไหมเส้นเล็กๆร้อยลงบริเวณใต้ตาเพื่อให้แรงตรึงจากไหมช่วยพยุงถุงใต้ตาและเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวบริเวณที่ร้อยครับ ทำให้ถุงใต้ตาดูเล็กลง ไม่ยื่นตุ่ยออกมาและทำให้รอยคล้ำใต้ตาดูดีขึ้นอีกด้วยครับ เท่าที่ผมใช้กับคนไข้มา วิธีนี้จะไม่เจ็บครับ ทายาชาไว้ซักพักก็สามารถร้อยได้โดยไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้วครับ โดยหลังจากการร้อยจะมีรอยเล็กๆเหมือนรอยเข็มอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็ยุบหายไปครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ วันนี้เราก็ทราบกันแล้วใช่ไหมครับว่าสาเหตุของขอบตาคล้ำนั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง และเราควรทำอะไรเพื่อลดหรือป้องกันการเกิดของรอยคล้ำนี้ ผมหวังว่าความรู้ที่ผมนำมาแบ่งปันนี้จะมีประโยชน์แก่ทุกท่าน ไม่มากก็นอยนะครับ หากใครมีคำถามอยากถามสามารถคอมเม้นไว้ที่ใต้บทความได้เลยนะครับ แล้วพบกันใหม่คราวหน้านะครับ สวัสดีครับ

เวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำให้เราแก่ช้าลงครับ โดยหลักๆจะเป็นการรักษาด้วยการกินอาหารที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ไม่เสื่อมก่อนเวลา อีกทั้งจะช่วยยืดอายุระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้อยู่กับเราไปได้นานๆนั่งเองครับ วันนี้ผมมาแบ่งปันอาการที่เราควรเลือกรับประทานเพื่อการชะลอวัยให้ทราบกันครับ มาดูกันเถอะว่าถ้าอยากเป็นเด็กอยู่นานๆเราควรกินอะไรบ้าง
อ่านต่อขมิ้นชัน (Curcuma longa)เป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายในวงการชะลอวัยเลยครับ โดยขมิ้นชันนั้นมีสารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไตให้ขับของเสียในร่างกายได้ดีขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญอาหาร กำจัดท็อกซิน บรรเทาอาการ เจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ บำรุงตับ ลดภาวะภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ฆ่าเชื้อ และที่สำคัญสามารถช่วยในการรักษามะเร็งได้อีกด้วยครับ โดยมีการทดลองมากมายที่พบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่ทานเคอร์คูมินอยด์นี้มีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นและมีคุณภาพชีวิต (Quality of Life) ที่ดีขึ้นอีกด้วยครับ
หากใครอยากหามาทานในรูปแบบของอาหารเสริมคุณควรสังเกตที่ฉลากของขวดบรรจุว่าอาหารเสริมตัวนั้นมี Curcuminoid อยู่มากเท่าไหร่ครับ เพราะบางยี่ห้อใช้คำว่า Tumeric ซึ่งแปลว่าเป็นการใช้ขมิ้นมาป่นเป็นผง ไม่ใช่การสะกัดสารที่มีประโยชน์ออกมา จะซื้อทานทั้งที ต้องให้ดีกว่าการทานขมิ้นสดๆจริงไหมครับ?
ใบบัวบก (Centella asiatica) สมุนไพรแก้ช้ำใน บำรุงหัวใจ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย
เป็นพืชที่เรารู้จักกันดีเพราะว่าเป็นพืชพื้นถื่นของเอเชียเรานี่เอง เราก็รู้จักใบบัวบกในฐานะยาในตำหรับยาไทยอยู่แล้วครับ มันมีสารกลุ่มไกลโคไซด์ (Glycoside) ซึ่งมีผลช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้หลากหลายมากๆ เช่น ช่วยฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย แก้ช้ำใน ลดอาการอักเสบ ช่วยสมานบาดแผล แก้ร้อนใน บำรุงร่างกาย ช่วยให้คอลลาเจนที่หุ้มอยู่รอบเส้นเลือดยืดหยุ่น ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น บำรุงหัวใจ ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผลไฟไหม้ แหม่ประโยชน์เยอะจริงๆแถมยังราคาไม่แพงด้วยนะครับ
สำหรับใบบัวบก มีทริกอยู่นิดนึงครับว่า การที่เราจะได้ประโยชน์จากใบบัวบกแบบเต็มที่นั้น เราจะต้องรับประทานมันทั้งต้นครับ การเอาบัวบกไปต้มเอาน้ำมารับประทานจะไม่ได้ผลดีเท่ากับการที่เราปั่นทานทั้งต้นครับ ส่วนตัวผมได้ลองทำทานดูเองแล้ว ต้องบอกว่า เหม็นเขียวมากครับ ฮ่าๆ เพราะฉะนั้นผมแนะนำให้ผู้ที่จะลองรับประทานน้ำใบบัวบกปั่นให้ใส่ผลไม้ที่มีรสหวานหรือกลิ่นหอมเข้าไปปั่นเพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้นครับ ที่ผมลองทำทานเองแล้วอร่อยก็มี บัวบกปั่นกับ กล้วยหอม แอปเปิ้ล มะละกอ กีวี่ มะม่วง แก้วมังกร น้ำส้ม ครับ หรือใครจะลองปั่นกับน้ำใบเตยแบบสูตรดั้งเดิมก็ได้ครับ ขอเพียงแค่ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มก็พอแล้วครับ ลองทำทานกันดูนะครับ!
แอปเปิ้ล
ดังคำกล่าวที่ว่า “An apple a day keeps the doctor away.” ครับ แอปเปิ้ลมีสารไฟโตเคอมมิคอลล์มากมาย เช่นเคอร์ซิติน (Quercetin) เคทีชิน (Catechin) ฟอร์ไรซิน (Phloridzin) มีฤทธิ์ช่วยต้านอณุมูลอิสระ (Free Radicals) สูงลดอาการภูมิแพ้ เพิ่มภูมิต้านทานและช่วยต้านมะเร็งเช่นกันครับ นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีใยอาหารสูงซึ่งมีสารเพคติน (Pectin) อยู่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ปกป้องเซลล์สมอง และลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้
มีการทดลองที่พบว่าผุ้ที่ทานแอปเปิ้ลนั้นมีความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด โดยลดการแบ่งตัวของดซลมะเร็ง เบาหวานและโรคหอบหืดอีกด้วยนะครับ
สำหรับคนที่ชอบทานแอปเปิ้ล การเก็บรักษาไม่มีผลต่อปริมาณสารที่มีประโยชน์นะครับ เก็บยังไงก็ได้อย่าให้เน่าก็พอครับ! แต่สิ่งที่ทำให้ปริมาณสารที่มีประโยชน์เปลี่ยนไปคือการแปรรูปครับ เพราะฉะนั้นแอปเลกระป๋อง น้ำแอปเปิ้ลก็จะไม่มีประโยชน์มากเท่าการรับประทานเป็นลูกนั่นเองครับ
เนื่องจากแอปเปิ้ลมีสารที่มีประโยชน์มากเหลือเกิน การแยกเอาตัวใดตัวหนึ่งออกมาทำให้ประโยชน์ของมันลดลงครับ เราเลยยังไม่มีสารสกัดจากแอปเปิ้ลตัวไหนมาทดแทนการรับประทานแบบสดๆได้นั่นเองครับ
กระเทียม (Allium sativum) สมุนไพรช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
ของชอบของใครหลายๆคนรวมถึงผมด้วยครับ เวลาทานหมูกระทะหรือสุกี้แล้วใส่กระเทียมลงในซอสช้อนพูนๆอร่อยอย่าบอกใครเลยครับ
ประโยชน์ของกระเทียมนั้นมาจากสารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งเป็นสารต้านอณุมูลอิสระและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดโดยการลดการดูดซึมของ LDL, ลดการรวมตัวกันของเกล็ดเลือดทำให้สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันได้, ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง โดยการทดลองบอกว่าการรับประทานกระเทียม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสด กลั่นเป็นน้ำมัน หรือป่นเป็นผงก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ดีเช่นกันครับ
นอกจากนี้การทดลองยังพบว่าสำหรับผุ้ที่เป็นโรคกระเพาะ กระเทียมยังช่วยยาลดกรดในการต้านฤทธิ์ของแบคทีเรีย H. pylori ที่ก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และแก้อาการจุกเสียดแน่นท้องอีกด้วยนะครับ
ทั้งหมดนี้เป็น Super Food – สุดยอดอาหารแห่งการชะลอวัยครับ หวังว่าในช่วงเวลาแบบนี้ทุกๆคนจะได้ใช้ความรู้ในให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและคนที่คุณรักนะครับ หากมีคำถามอะไรสามารถคอมเม้นถามไว้ด้านล่างได้เลยนะครับ! สวัสดีครับ

เวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำให้เราแก่ช้าลงครับ โดยหลักๆจะเป็นการรักษาด้วยการกินอาหารที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ไม่เสื่อมก่อนเวลา อีกทั้งจะช่วยยืดอายุระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้อยู่กับเราไปได้นานๆนั่งเองครับ วันนี้ผมมาแบ่งปันอาการที่เราควรเลือกรับประทานเพื่อการชะลอวัยให้ทราบกันครับ มาดูกันเถอะว่าถ้าอยากเป็นเด็กอยู่นานๆเราควรกินอะไรบ้าง
อ่านต่อขมิ้นชัน (Curcuma longa)เป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายในวงการชะลอวัยเลยครับ โดยขมิ้นชันนั้นมีสารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไตให้ขับของเสียในร่างกายได้ดีขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญอาหาร กำจัดท็อกซิน บรรเทาอาการ เจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ บำรุงตับ ลดภาวะภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ฆ่าเชื้อ และที่สำคัญสามารถช่วยในการรักษามะเร็งได้อีกด้วยครับ โดยมีการทดลองมากมายที่พบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่ทานเคอร์คูมินอยด์นี้มีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นและมีคุณภาพชีวิต (Quality of Life) ที่ดีขึ้นอีกด้วยครับ
หากใครอยากหามาทานในรูปแบบของอาหารเสริมคุณควรสังเกตที่ฉลากของขวดบรรจุว่าอาหารเสริมตัวนั้นมี Curcuminoid อยู่มากเท่าไหร่ครับ เพราะบางยี่ห้อใช้คำว่า Tumeric ซึ่งแปลว่าเป็นการใช้ขมิ้นมาป่นเป็นผง ไม่ใช่การสะกัดสารที่มีประโยชน์ออกมา จะซื้อทานทั้งที ต้องให้ดีกว่าการทานขมิ้นสดๆจริงไหมครับ?
ใบบัวบก (Centella asiatica) สมุนไพรแก้ช้ำใน บำรุงหัวใจ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย
เป็นพืชที่เรารู้จักกันดีเพราะว่าเป็นพืชพื้นถื่นของเอเชียเรานี่เอง เราก็รู้จักใบบัวบกในฐานะยาในตำหรับยาไทยอยู่แล้วครับ มันมีสารกลุ่มไกลโคไซด์ (Glycoside) ซึ่งมีผลช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้หลากหลายมากๆ เช่น ช่วยฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย แก้ช้ำใน ลดอาการอักเสบ ช่วยสมานบาดแผล แก้ร้อนใน บำรุงร่างกาย ช่วยให้คอลลาเจนที่หุ้มอยู่รอบเส้นเลือดยืดหยุ่น ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น บำรุงหัวใจ ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผลไฟไหม้ แหม่ประโยชน์เยอะจริงๆแถมยังราคาไม่แพงด้วยนะครับ
สำหรับใบบัวบก มีทริกอยู่นิดนึงครับว่า การที่เราจะได้ประโยชน์จากใบบัวบกแบบเต็มที่นั้น เราจะต้องรับประทานมันทั้งต้นครับ การเอาบัวบกไปต้มเอาน้ำมารับประทานจะไม่ได้ผลดีเท่ากับการที่เราปั่นทานทั้งต้นครับ ส่วนตัวผมได้ลองทำทานดูเองแล้ว ต้องบอกว่า เหม็นเขียวมากครับ ฮ่าๆ เพราะฉะนั้นผมแนะนำให้ผู้ที่จะลองรับประทานน้ำใบบัวบกปั่นให้ใส่ผลไม้ที่มีรสหวานหรือกลิ่นหอมเข้าไปปั่นเพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้นครับ ที่ผมลองทำทานเองแล้วอร่อยก็มี บัวบกปั่นกับ กล้วยหอม แอปเปิ้ล มะละกอ กีวี่ มะม่วง แก้วมังกร น้ำส้ม ครับ หรือใครจะลองปั่นกับน้ำใบเตยแบบสูตรดั้งเดิมก็ได้ครับ ขอเพียงแค่ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มก็พอแล้วครับ ลองทำทานกันดูนะครับ!
แอปเปิ้ล
ดังคำกล่าวที่ว่า “An apple a day keeps the doctor away.” ครับ แอปเปิ้ลมีสารไฟโตเคอมมิคอลล์มากมาย เช่นเคอร์ซิติน (Quercetin) เคทีชิน (Catechin) ฟอร์ไรซิน (Phloridzin) มีฤทธิ์ช่วยต้านอณุมูลอิสระ (Free Radicals) สูงลดอาการภูมิแพ้ เพิ่มภูมิต้านทานและช่วยต้านมะเร็งเช่นกันครับ นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีใยอาหารสูงซึ่งมีสารเพคติน (Pectin) อยู่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ปกป้องเซลล์สมอง และลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้
มีการทดลองที่พบว่าผุ้ที่ทานแอปเปิ้ลนั้นมีความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด โดยลดการแบ่งตัวของดซลมะเร็ง เบาหวานและโรคหอบหืดอีกด้วยนะครับ
สำหรับคนที่ชอบทานแอปเปิ้ล การเก็บรักษาไม่มีผลต่อปริมาณสารที่มีประโยชน์นะครับ เก็บยังไงก็ได้อย่าให้เน่าก็พอครับ! แต่สิ่งที่ทำให้ปริมาณสารที่มีประโยชน์เปลี่ยนไปคือการแปรรูปครับ เพราะฉะนั้นแอปเลกระป๋อง น้ำแอปเปิ้ลก็จะไม่มีประโยชน์มากเท่าการรับประทานเป็นลูกนั่นเองครับ
เนื่องจากแอปเปิ้ลมีสารที่มีประโยชน์มากเหลือเกิน การแยกเอาตัวใดตัวหนึ่งออกมาทำให้ประโยชน์ของมันลดลงครับ เราเลยยังไม่มีสารสกัดจากแอปเปิ้ลตัวไหนมาทดแทนการรับประทานแบบสดๆได้นั่นเองครับ
กระเทียม (Allium sativum) สมุนไพรช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
ของชอบของใครหลายๆคนรวมถึงผมด้วยครับ เวลาทานหมูกระทะหรือสุกี้แล้วใส่กระเทียมลงในซอสช้อนพูนๆอร่อยอย่าบอกใครเลยครับ
ประโยชน์ของกระเทียมนั้นมาจากสารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งเป็นสารต้านอณุมูลอิสระและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดโดยการลดการดูดซึมของ LDL, ลดการรวมตัวกันของเกล็ดเลือดทำให้สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันได้, ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง โดยการทดลองบอกว่าการรับประทานกระเทียม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสด กลั่นเป็นน้ำมัน หรือป่นเป็นผงก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ดีเช่นกันครับ
นอกจากนี้การทดลองยังพบว่าสำหรับผุ้ที่เป็นโรคกระเพาะ กระเทียมยังช่วยยาลดกรดในการต้านฤทธิ์ของแบคทีเรีย H. pylori ที่ก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และแก้อาการจุกเสียดแน่นท้องอีกด้วยนะครับ
ทั้งหมดนี้เป็น Super Food – สุดยอดอาหารแห่งการชะลอวัยครับ หวังว่าในช่วงเวลาแบบนี้ทุกๆคนจะได้ใช้ความรู้ในให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและคนที่คุณรักนะครับ หากมีคำถามอะไรสามารถคอมเม้นถามไว้ด้านล่างได้เลยนะครับ! สวัสดีครับ

วันนี้ผมเอาเรื่องการจำกัดแคลอรี่หรือ Caloric Restriction มาเล่าให้ฟังครับ
การจำกัดแคลอรี่นั้น เรียกง่ายๆว่าเป็นการทานอาหารให้น้อยลงกว่าปริมาณที่ทานในเวลาปกติครับ โดยแต่ละการศึกษาที่ผมพบนั้นจะใช้ตัวเลขอยู่ที่ราว 10-60% ของปริมาณแคลอรี่ที่แนะนำต่อวันครับ (ผู้ชาย 2500kCal ผู้หญิง 2000 kCal)
การจำกัดแคลอรี่นั้นไม่ใช่การอดอาหารนะครับ การจำกัดแคลอรี่เป็นเพียงการลดปริมาณอาหารต่อมื้อลงในขณะที่การอดอาหาร (Fasting/ Intermittent Fasting) คือการไม่รับประทานอาหารเลยนั่นเองครับ
การจำกัดแคลอรี่ช่วยให้แก่ช้าลงได้อย่างไรบ้าง
คุณคงเคยได้ยินเรื่องที่คนญี่ปุ่นนั้นมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนอื่นๆใช่ไหมครับ นักวิทยาศาสตร์ที่ลงไปศึกษาพบว่าคนญี่ปุ่นโดยเฉลี่ยแล้วทานแคลอรี่น้อยว่าตัวเลขเฉลี่ยที่แนะนำต่อวันประมาณ 45% นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเลยทำการศึกษาต่อยอดจากตรงนี้ ทดลองจำกัดแคลอรี่ในสัตว์ทดลองหลายๆชนิดเช่น ลิง หนู หนอน แมลงวัน หรือแม้แต่ยีสต์ และพบว่าสัตว์ทดลองเหล่านี้ก็มีอายุยืนยาวขึ้นจริงๆ!
ไม่นานมานี้เริ่มมีการศึกษาเรื่องการจำกัดแคลอรี่ในคนแล้วนะครับ พบว่าการจำกัดแคลอรี่ทำให้คนกลุ่มทดลองมีการเผาผลาญพลังงานระหว่างนอนหลับลดน้อยลงพร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่ลดลงนิดหน่อยระหว่างหลับ อาจจะเป็นเพราะร่างกายเรียนรู้ที่จะประหยัดพลังงานในช่วงที่ได้รับแคลอรี่น้อยลงครับ แต่ที่น่าสนใจคือ คนกลุ่มที่ลดแคลอรี่มีอณุมูลอิสระในเซลลดลงถึง 20% และพบว่าเซลล์ของคนในกลุ่มนี้มีความเสียหายน้อยกว่าคนที่ทานอาหารในปริมาณปกติอีกด้วย ซึ่งทางการแพทย์ก็ทราบมานานแล้วว่าทั้ง 2 อย่างนี้เป็นตัวการที่ทำให้เราแก่ลงนั่นเองครับ
การศึกษาอีกฉบับพบว่าผู้ที่ลดแคลอรี่ลง 33% นั้นมีลักษณะการทำงานของไมโตรคอนเดรีย (ตัวสร้างพลังงานในเซลล์) ที่ดีขึ้น สร้างอณุมูลอิสระน้อยลง ใช้ออกซิเจนน้อยลงในขณะที่สามารถทำงานได้เท่าเดิม เรียกได้ว่าการจำกัดแคลอรี่นั้นสามารถส่งผลให้ร่างกายเราทำงานได้ดีขึ้นถึงระดับเซลล์เลยทีเดียวนะครับ
การจำกัดแคลอรี่กับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
จากการศึกษาของสถาบันความชราแห่งชาติของอะเมริกา (National Institute on Aging) พบว่าผู้ที่ทานแคลอรี่น้อยลงเพียง 300 แคลต่อวัน (ลดลง 12%) นอกจากจะได้ลดน้ำหนักแล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานลงและมีการคงระดับของคอเลสเตอร์รอลในเลือดที่ดีอีกด้วย ทำให้คนเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันน้อยลงนั่นเองครับ
แล้วแบบนี้ ฉันเริ่มจำกัดแคลอรี่เลยดีมั้ย?
ถึงแม้ว่าจะมีผลการศึกษาที่น่าสนใจออกมามากมาย การจำกัดอาหารนั้น เป็นอะไรที่ต้องคุมให้อยู่ในความพอดีครับ ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากคุณลดอาหารมากเกินไป แทนที่จะทำให้ได้ผลที่ดี อาจจะทำให้ร่างกายของคุณมีปัญหาตามมาได้นะครับ ทางที่ดีผมแนะนำคนที่ต้องการลองจำกัดแคลอรี่ทุกคน ให้ลองไปปรึกษานักโพชนาการหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนจะปลอดภัยที่สุดครับ เพราะเป้าหมายของการลดแคลอรี่นั้น ไม่ใช่จะลดอะไรก็ได้ครับ ร่างกายยังต้องการสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานทุกวัน เพราะฉะนั้นเราต้อง Make every calorie counts ครับ
แต่ถ้าหากใครอ่านแล้วตื่นเต้น อยากลองทำเลย ผมแนะนำให้ลดปริมาณน้ำตาลก่อนอย่างแรกเลยครับ โดยเฉพาะน้ำตาลฟอกสี อาจจะเริ่มช้าๆอย่างเช่นเปลี่ยนน้ำตาลทรายขาวมาเป็นน้ำตาลทรายแดงก็ได้นะครับ แล้วค่อยๆลดปริมาณลงต่อไปครับ

เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากตัวเลขยอดผู้ป่วยและจากข่าว Super Spreader ต่างๆที่ออกมา ไม่แปลกเลยที่ทุกๆคนจะเสียขวัญและกลัวการออกไปพบปะผู้คนกันทั่วไป และหลังจาก COVID-19 ระบาดมาได้ซักพักชื่อของ ฟ้าทะลายโจร ก็เริ่มเป็นที่กล่าวถึงว่าสามารถรักษาโรค COVID-19 นี้ได้ เลยเกิดเป็นปรากฏการณ์ฟ้าทะลายโจรขาดตลาดมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
แล้วทำไม ฟ้าทะลายโจร ถึงสามารถช่วยป้องกันและต่อต้านเชื้อไวรัสได้ล่ะ? เรื่องนี้มีคำตอบในบทความต่อไปนี้เลยครับ
อ่านต่อฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น กินแล้วสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต่อต้านเชื้อไวรัส และช่วยป้องกันหวัดได้ นอกจากนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข ได้อธิบายถึงสรรพคุณของ ฟ้าทะลายโจรว่า เป็นสมุนไพรที่เมื่อทานเข้าไปแล้วสามารถช่วยสร้างความสมดุลให้ร่างกายได้ แต่ฟ้าทะลายโจรไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้โดยตรง แต่ก็สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้เช่นกัน งงไหมครับ? นั่นก็เพราะว่าฟ้าทะลายโจรจะเป็นยาเย็นที่ช่วยทำให้มีการหลั่งสารคัดหลั่งในทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น จึงช่วยเคลือบหลอดลมและทางเดินหายใจของเราให้ไวรัสโจมตีเข้าถึงปอดได้ยากขึ้น ทำให้ร่างกายจะต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้นได้ดีขึ้น โดยรวมแล้วจะมีส่วนช่วยให้ระบบทางเดินหายใจมีภูมิต้านทานมากขึ้นนั่นเองครับ
มีงานวิจัยจากประเทศชิลี ที่ศึกษาทดลองกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดเพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลของสารสกัดจาก ฟ้าทะลายโจร ในการรักษาอาการอันเนื่องจากหวัดทั่วไป (common cold) และพบว่าการรับประทานสารสกัดจากใบฟ้าทะลายโจรขนาด 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 3-4 วัน นั้นสามารถลดอาการรุนแรงของโรคอันเนื่องจากหวัดได้อย่างมีนัยสำคัญอีกทั้งยังพบว่าใน 3 วันแรก คนของกลุ่มทดลองที่ได้รับสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรขนาดสูง (6 กรัมต่อวัน) มีผลช่วยลดอาการไข้และอาการเจ็บคอได้ 80%-90% ซึ่งก็สนับสนุนแนวคิดเรื่องการเพิ่มพูมิคุ้มกันต่อไวรัสอย่างที่ได้เล่าให้ฟังมานั่นเองครับ
ไม่นานมานี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ก็ได้แถลงผลการทดลองว่า สารสกัด “ฟ้าทะลายโจร” ของประเทศไทย สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสในหลอดทดลองได้อีกด้วยครับ แต่อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองในขั้นการนำมาใช้รักษา COVID-19 นั้น ยังคงต้องรอการทดลองกันต่อไปครับ
นอกจากนี้ สรรพคุณของฟ้าทะลายโจรที่ประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัยออกมาอีกมากมาย เช่น ค้นพบว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา ช่วยป้องความผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อมาลาเรีย มีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดและลดความดันเลือดได้ดี เป็นต้นครับ
ใช้ได้เลยใช่ไหมครับ สมุนไพรที่เรารู้จักกันมานานอย่างฟ้าทะลายโจรจะมีสรรพคุณที่มากมายขนาดนี้ แต่ในการทดลองหลายๆ อันก็พบข้อเสียของสมุนไพรนี้เช่นกันนะครับเช่น
- ฟ้าทะลายโจร ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันต่ำ เพราะฟ้าทะลายโจรมีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต โดยเฉพาะในการรับประทานยาฟ้าทะลายโจรควบคู่ไปกับยาลดความดัน เพราะอาจเสริมฤทธิ์กันให้มากกว่าเดิมได้
- ห้ามผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ และไต รับประทานยาฟ้าทะลายโจรครับเพราะฟ้าทะลายโจรมีพิษต่อตับและไตอ่อนๆ
- อาจทำให้มีอาการข้างเคียง เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย จึงไม่ควรทานฟ้าทะลายโจรเกิน 7 วัน และถ้าหากทานไป 3 วันแล้วอาการต่างๆ ยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างตรงจุดต่อไป
- ควรระมัดระวังในการรับประทานยาฟ้าทะลายโจรควบคู่ไปกับยาที่มีสารกันเลือดเป็นลิ่ม และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด เช่น วาฟาร์ริน แอสไพริน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ที่ได้รับยากดภูมิ เนื่องจากสมุนไพรอาจเข้าไปลดฤทธิ์ของยาได้
- สตรีมีครรภ์ และสตรีที่กำลังให้นมบุตร ไม่ควรทานฟ้าทะลายโจร เพราะอาจส่งผลต่อเด็กได้
- ในบางรายอาจมีอาการแพ้ยา หรือมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ได้ เช่น ผื่นขึ้น ปากบวม หน้าบวม ตัวบวม หากแพ้มากๆ อาจเป็นภูมิแพ้เฉียบพลัน จนช็อคเสียชีวิตได้เช่นกัน
ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาในการขู่หรือทำให้กลัวนะครับ แต่ผมอยากให้ทุกๆท่านทราบข้อดีและข้อเสียของสมุนไพรชนิดนี้ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจใช้มันครับ
โดยสรุปแล้วตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สามารถพิสูจน์ได้นะครับว่า ฟ้าทะลายโจร สามารถรักษาโรคจาก COVID-19 ได้ แต่สามารถใช้ทานเพื่อป้องกันและแก้หวัดได้ครับ โดยก่อนที่จะรับประทานนั้น คุณต้องศึกษาข้อมูลผลข้อควรระวังให้ดีก่อนครับ
วิธีรับประทานฟ้าทะลายโจร
ทานฟ้าทะลายโจรวันละ 1 แคปซูล ต่อเนื่องกัน 5 วันต่อสัปดาห์ หรือวันเว้นวัน ได้นาน 3 เดือน ในช่วงไวรัสแพร่ระบาด รับประทานเมื่อมีไข้ มีอาการไอ เจ็บคอ
สำหรับในเด็ก อายุ 12 ปีขึ้นไป ครั้งละ 3 แคปซูล หลังอาหาร 3 มื้อ และก่อนนอน จนอาการดีขึ้น (ไม่เกิน 7 วัน)
อายุ 4-11 ปี วันละ 1-2 เม็ด ไม่เกิน 10 วัน หรือดูที่ฉลากยาก็ได้ครับ

ในช่วงเวลาที่ไวรัสโควิดออกอาละวาดแบบนี้ คนที่อ่อนแอก็แพ้ไปนะครับ อย่างที่ทุกๆท่านทราบแล้วว่าเจ้าโควิด-19 นี้สามารถทำให้คนเกิดอาการได้ไม่เท่ากัน บางคนเบา บางคนหนัก บางคนอาการคล้ายโรคหวัดธรรมดา บางคนหายใจล้มเหลวจนเสียชีวิตเลยก็มี
แล้วปัจจัยไหนล่ะที่ทำให้คนที่ติดมีอาการน้อย? ความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันนั่นเองครับ ในวันที่เราปิดกรุงแบบนี้ผมจึงอยากแนะนำอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เราสามารถผ่านภัยโควิต-19 นี้ไปด้วยกันอย่างสวัสดิภาพกันทุกๆคนครับ
ภูมิคุ้มกันเราไม่เท่ากัน
ร่างกายเราแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันไม่มากก็น้อยครับ ภูมิคุ้มกันของเราก็เช่นกัน ภูมิคุ้มกันของเราต่างกันไม่ใช่แค่เพราะเราถ่ายทอดมาจากพ่อแม่เท่านั้นนะครับ สภาวะแวดล้อมและการใช้ชีวิตของเราก็มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงหรืออ่อนแอได้เช่นกัน เวลาเรานอนน้อยๆ เครียดมากๆ ระบบการย่อยอาหารไม่ดีภูมิคุ้มกันเราก็จะตกลงครับ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ยากครับ ผมเลยอยากเสนอสิ่งที่พวกเราควบคุมได้ง่ายกว่า คือการกินนั่นเองครับ การรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันนั้นจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณติดเชื้อ และถึงแม้คุณกำลังติดเชื้ออยู่ก็ตาม การรับประทานอาหารที่ดีก็สามารถช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยให้คุณหายป่วยได้เร็วขึ้นนั่นเองครับ
วันนี้เราอยากมานำเสนอผัก ผลไม้ และสมุนไพรที่สามารถหาได้จากในประเทศไทย ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแรงกันครับ
1. กลุ่มที่ช่วยกระตุ้มภูมิคุ้มกันของร่างกาย
พลูคาว(ผักคาวตอง) เห็ดต่างๆ เช่น เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดออรินจิ เห็ดหลินจือ ซึ่งมีสารประกอบสำคัญคือ “เบต้ากลูแคน” และสมุนไพรตำหรับตรีผลา ที่ประกอบไปด้วย สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม สามารถรับประทานในรูปของน้ำต้มดื่มได้ครับ
ซึ่งเจ้าตัวเบต้ากลูแคนเนี่ยเป็นสารอาหารที่ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา ช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม นั่นเองครับ
2. กลุ่มที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ดอกขี้เหล็ก ยอดมะยม ใบเหลียง ยอดสะเดา มะระขี้นก ฟักข้าว ผักเชียงดา คะน้า มะรุม ผักแพว มะขามป้อม ล้วนมี ”วิตามินซี” สูงครับ
อย่างที่หลายๆท่านทราบครับ วิตามินซีนั้นจะช่วยเสริมสร้างร่างกายและภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกด้วยครับ ในช่วงที่เราป่วยเราควรทานวิตามินซีเยอะๆ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคนั่นเองครับ
3. กลุ่มที่ช่วยต้านและป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์ ลดโอกาสการติดเชื้อ
พลูคาว หรือผักคาวตอง หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุม ใบหม่อน แอปเปิล มีสาร “ฟลาโวนอยด์” ครับ สาร “ฟลาโวนอยด์” จากพืชเหล่านี้มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระสูง จึงทำให้มีศักยภาพในการป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์ของเราได้ เลยช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ครับ
นอกจากนี้ ลูกหม่อน และผักผลไม้หลากสีสัน จะมีสาร ”แอนโทไซยานิน” ผิวและเยื่อหุ้มเปลือกของพืชตระกูลส้ม ((Citrus Fruit) เช่น ส้ม มะนาว มะกรูด ส้มซ่า เป็นผักผลไม้ที่มีสาร “เฮสเพอริดินและรูติน” สูง ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ก็จัดอยู่ในสารกลุ่มฟลาโวนอยด์เช่นกันครับ
ที่มลฑลหูเป่ยของจีนก็ได้มีการใช้ เปลือกส้มและใบหม่อนในการต้มดิ่มเป็นน้ำชา ช่วยป้องกันปอดบวมอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อีกด้วยครับ
สำหรับเมนูอาหารไทยที่ผมขอแนะนำก็จะเป็นอาหารกลุ่มที่บอกไว้ข้างต้นครับ เช่น “เมี่ยงคำ” ซึ่งมีมะนาวหั่นพร้อมเปลือกและหอมแดง นอกจากนั้นอาหารจำพวกแกงเลียง ยำ ต้มยำ ต้มโคล้งต่างๆ ที่ใส่หอมใหญ่ หอมแดง เห็ดชนิดต่างๆ และมะนาว เราจะได้ทั้งเคอร์ซีทิน เบต้ากลูแคน และวิตามินซีเลยครับ
สำหรับเครื่องดื่มหรือน้ำสมุนไพรที่แนะนำก็คือ “น้ำตรีผลา” ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ นอกจากนี้อาจนำผักผลไม้ที่แนะนำข้างต้นมาปรุงอาหารอื่นหรือทำเป็นเครื่องดื่ม หรือเพิ่มการรับประทานผักผลไม้สมุนไพรกลุ่มนี้ให้มากขึ้นในระยะนี้เพื่อช่วยให้เราสามารถต่อสู้กับเจ้า COVID-19 ได้ดีขึ้นกันนะครับ

ทุกคนรู้จักและทราบถึงประโยชน์อันมากมายของวิตามินซีกันอยู่แล้วใช่ไหมครับ อย่างเช่นการเพิ่มความกระจ่างใสให้ใบหน้า ผิวพรรณ และที่สำคัญคือการเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรคหวัด
อ่านต่อยิ่งช่วงที่มีการระบาดของเชื้อ COVID-19 แบบนี้ เรายิ่งต้องมาทำความรู้จักกับวิตามินซีกันให้มาก ๆ เพื่อที่จะใช้มันได้อย่างมีประโยชน์สูงสุดครับ
ใช่ว่าทุกปัญหาสุขภาพจะทานวิตามินซีในปริมาณเดียวกันหรือรูปแบบเดียวกันหมดนะครับ การทานวิตามินซีก็มีวิธีการทานที่ถูกต้องและโดสที่ตามความเหมาะสมของร่างกายแต่ละคนด้วยเช่นกันครับ
เราควรได้รับปริมาณวิตามินซีเท่าไหร่?
ในทางศาสตร์ชะลอวัยคนเราควรทานวิตามินซีวันละ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อที่จะช่วยในเรื่องภูมิต้านทานร่างกายและการบำรุงผิวพรรณ แต่สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหวัดหรือภูมิแพ้บ่อย ควรทานวิตามินซีอย่างน้อย 2000 มิลลิกรัมหรือมากกว่านั้นครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งหากอยากรู้แน่ชัดว่าร่างกายเราต้องการวิตามินเท่าไหร่สามารถทักเข้ามาที่คลินิกเพื่อปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ครับ
วิตามินซีในรูปแบบต่าง ๆ

1) วิตามินซีแบบอัดเม็ด
วิตามินซีประเภทนี้โดยทั่วมีขนาดตั้งแต่ 25-1,000 มก. แต่ขนาดยอดนิยมทั่วไปคือ 500 และ 1,000 มก. ซึ่งหากเป็นไปได้ควรเลือกทานวิตามินซี ชนิดเม็ดที่สามารถละลายได้ภายในระยะเวลา 30 นาทีจึงจะทำงานได้เป็นอย่างดี คือถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วทันใช้ หากเวลาที่ใช้ในการละลายมากว่า 60 นาที วิตามินซี ที่รับเข้าส่วนมากก็จะถูกขับถ่ายออกไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณสามารถทดสอบวิตามินซีด้วยตัวเองโดยทดลองใส่เม็ดวิตามิน ในน้ำอุ่นๆหนึ่งแก้ว ตั้งนาฬิกาจับเวลาดูครับ
2) วิตามินซีแบบเม็ดอม
มีตั้งแต่ 25-500 มก. เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกลืนเป็นเม็ด แต่ก็มีข้อเสียคือการอมวิตามินซีแบบเม็ดบ่อย ๆ วิตามินที่ออกมาซึ่งมีสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เคลือบฟันบางจนฟันกร่อนได้ครับ


3) วิตามินซีแบบเม็ดเคี้ยว
โดยปกติมีขนาด 30 มก. เหมาะสำหรับเด็กเพราะมีรสหวานชวนทาน แต่ ด้วยน้ำตาลที่มีปริมาณสูงอาจส่งผลให้เกิดฟันผุได้เหมือนกันเมื่อรับประทานเป็นประจำครับ
4) วิตามินซีแบบเม็ดฟู่
มักมาในขนาด 500 และ 1,000 มก. วิธีการทานที่ถูกต้องควรนำไปละลายในน้ำจนฟองหมด เพราะฟองแก๊สที่เกิดขึ้นเมื่อรับประทานเข้าไปอาจเกิดการท้องอืดหรือแน่นท้องในภายหลังได้นั่งเองครับ
วิตามินซีชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถกลืนยาเม็ดขนาดใหญ่ได้ และเหมาะกับผู้สูงอายุที่มรปัญหาเรื่องการดูดซึมครับ


5) วิตามินซีแบบแคปซูล
มีทั้งแบบแคปซูลแข็งและแคปซูลนิ่ม แต่ละแคปซูลมีขนาด 500 มก. มีข้อดีคือกลืนง่ายสบายคอกว่าวิตามินซีรูปแบบอัดเม็ด
6) วิตามินซีแบบสารละลายเพื่อฉีด
ขนาดจะอยู่ที่ 500 มก. เป็นวิตามินซีแบบที่เหมาะกับการป้องกันหวัดที่ดีที่สุดเนื่องจากเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์เร็ว และร่างกายสามารถเอาวิตามิซีไปบำรุงซ่อมแซมได้ทันที เพราะไม่ต้องผ่านการย่อยและดูดซึมจากกระเพาะอาหาร

รู้แบบนี้แล้วก็ลองเลือกชนิดของวิตามินซีที่เหมาะกับคุณดูนะครับ หรือหากใครต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินเพิ่มเติมสามารถทักเข้ามาปรึกษาหรือสั่งซื้อวิตามินซีคุณภาพสูงกับทางคลินิกได้ทางไลน์หรือ facebook เลยนะครับ 🙂

ใครที่มีปัญหาหน้าหมองคล้ำบ้างยกมือขึ้น!
ภาวะหน้าหมอง หน้าดำคล้ำ เกิดจากสาเหตุไม่กี่อย่างครับไม่ว่าจะเป็นหลังผิวหน้าเผชิญกับ แสงแดด แสง UV หรือสำหรับบางคน ภาวะผิวคล้ำอาจเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด การสูบบุหรี่ หรือความเครียดก็ได้เช่นกันครับ
แล้วถ้าหน้าหมองคล้ำต้องแก้อย่างไรล่ะ? การดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสม สม่ำเสมอ รวมทั้งเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางการแพทย์ในปัจจุบันมีคำตอบครับ!
หน้าหมองคล้ำ
สาเหตุหลักของหน้าหมองคล้ำ คือแสงแดดครับ ถึงแม้การรับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าจะดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยให้ผิวหนังผลิตวิตามินดี ซึ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของกระดูกและสุขภาพของผิวหนัง แต่การรับแสงแดดที่ร้อนจ้าหรือถูกแดดเป็นเวลานานเกินไป อาจทำให้ผิวของคุณหมองคล้ำและเกิดอันตรายต่อผิวได้ ทางที่ดีคุณควรงดการตากแดดในช่วงเที่ยงวันถึงแม้ฟ้าจะครึ้มๆก็ตามครับ ใครที่ไปเที่ยวเคยสังเกตไหมครับว่า บางทีอากาศหนาวไม่ค่อยมีแดดเราออกไปข้างนอก ก็เกิดผิวคล้ำขึ้นได้เหมือนกัน นั่นเป็นผลจาก รังสี UV นั่นเองครับ
นอกจากทำให้หน้าหมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน มีจุดด่างดำแล้ว รังสียูวีจากแสงแดดจะทำลายเส้นใยในผิวหนังหรืออีลาสติน (Elastin) ทำให้ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น เป็นริ้วรอยได้ง่าย ขาดความกระชับตึง ดังนั้น หากผิวโดนทำลายจนหย่อนคล้อยไปแล้ว การรักษาผิวให้กลับไปดีดังเดิมจะเป็นไปได้ยากครับ และสุดท้าย ผู้ที่โดยรังสียูวีบ่อยๆ อาจเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังจากรังสียูวีได้ด้วยนะครับ

สภาพอากาศที่หนาวเย็น
อากาศที่หนาวเย็นจะดูดซับความชุ่มชื้นไปจากผิว ทำให้ผิวแห้งและแตกเป็นขุย ส่งผลให้หน้าหมองคล้ำได้ แม้ไม่ได้อยู่ในสภาพอากาศเย็นจัด แต่การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ก็อาจทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากอากาศภายในห้องมีความชื้นต่ำ โดยสภาพผิวที่แห้งมาก ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ด้วยครับ เช่น ผิวแตก ผิวลอก ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ เป็นต้นครับ
ความเครียด
เมื่อเผชิญความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาครับ ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้ ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นจนทำให้หน้ามันและเกิดสิวง่าย ระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลนี่เอง ทำให้ผิวของเราแลดูสุขภาพไม่ดี หมองคล้ำลง อีกทั้งยังทำให้แก่ไวขึ้นอีกด้วยนะครับ
การสูบบุหรี่
ควันบุหรี่ลดปริมาณออกซิเจนในผิว ทำให้หน้าหมองคล้ำ แห้งกร้าน ดูแก่กว่าวัย และมีผิวมันมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนี้ นิโคตินในบุหรี่ยังทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี และทำให้ประสิทธิภาพของหลอดเลือดในการดูดซับวิตามินเอลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวแห้งและหยาบกร้าน อีกด้วยครับ
การดื่มน้ำไม่เพียงพอ
อย่างที่ทุกๆท่านทราบครับ คนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายกว่า 60% หากร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ ไม่มีสมาธิ และอาจเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ไร้ชีวิตชีวา นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปและพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายเราขาดน้ำ และทำให้ใบหน้าหมองคล้ำและหย่อนคล้อยได้เช่นกันครับ
อายุที่เพิ่มขึ้น
เวลาอายุมากขึ้น ผิวของเราจะเสื่อมสภาพลงครับ โดยผิวหน้าจะเริ่มมีริ้วรอย หย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีฝ้าและกระเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีผิวหน้าหมองคล้ำได้เช่นกันครับ

แล้วหน้าหมองคล้ำแก้ไขอย่างไร ?
หลังจากได้ทราบเหตุของใบหน้าที่หมองคล้ำกันแล้ว เรามาดูวิธีดูแลรักษาให้ใบหน้าของเรากลับมาผ่องใสเหมือนเดิมกันเถอะครับ
ใช้ครีมกันแดด
อย่างแรกเลย เราต้องป้องกันสิ่งที่เราเจอได้มากที่สุดนั่นคือรังสียูวีจากแสงแดดนั่นเองครับ เราควรทาครีมกันแดดทุกวันแม้ในวันที่ไม่มีแดดหรือแม้จะอยู่ในร่มก็ตามครับ เพราะหลอดไฟเก่าบางชนิดก็เป็นแหล่งของรังสียูวีเช่นกันครับ
วิธีการเลือกครีมกันแดดง่ายๆคือ เลือกครีมกันแดดที่ป้องกันผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบีได้ โดยมีค่าป้องกันแสงแดด (SPF) ตั้งแต่ 50 ขึ้นไป และควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งในตอนกลางวันเพราะว่าครีมกันแดดก็มีการเสื่อมไปตามปริมาณแดดที่รับไปนั่นเองครับ
เลิกสูบบุหรี่
อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วครับ ควันบุหรี่มีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ทำให้ผิวขาดออกซิเจน และมีสารนิโคตินที่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดจนทำให้ผิวแห้งและสีผิวเปลี่ยนไป นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังลดประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ รวมทั้งวิตามินดีซึ่งช่วยป้องกันและฟื้นฟูสภาพผิวที่ถูกทำลายด้วย การเลิกบุหรี่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาหน้าหมองคล้ำได้นั่นเองครับ

ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
โดยเฉพาะชนิดที่มีส่วนผสมของ AHA ซึ่งช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวหน้า หรืออาจปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้จ่ายยาได้ตรงปัญหาของคุณมากขึ้นครับ
วิตามินซี
วิตามินซี นอกจากจะเป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใสขึ้นได้ดีอีกด้วยครับ จึงควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีซึ่งพบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ เช่น ส้ม มะละกอ สตรอเบอร์รี่ มันเทศ และมะพร้าว เป็นต้นครับ
หรือสำหรับท่านที่อยากให้ขาวใสไวขึ้น เราสามารถให้วิตามินในรูปแบบฉีดเข้าเส้นให้กับท่าน เพื่อทำให้ร่างกายได้รับวิตามินในโดสที่สูงขึ้นกว่าการรับประทานนั่นเองครับ
ปรึกษาแพทย์
บางกรณีอาการผิวแห้งและใบหน้าหมองคล้ำอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพได้ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคไต สำหรับท่านที่มีความเสี่ยง เช่น มีอายุเข้าเลข 5 ขึ้นไปหรือเคยมีคนในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าว การไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจช่วยบรรเทาอาการและทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นได้เช่นกันครับ
เสริมความงามและศัลยกรรม
หากใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือแก้ปัญหาหน้าหมองคล้ำด้วยวิธีต่าง ๆ ด้านบนแล้วไม่ได้ผล คุณอาจเข้ามาอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมในการรักษาดูแลผิวหน้าให้กระจ่างใสขึ้นได้ครับ วิธีที่เราสามารถใช้เพื่อเร่งให้ผิวคุณขาวขึ้น มีหลายวิธีเหมือนกันครับ เช่น

สครับผิว – เป็นการขัดผิวเพื่อลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป โดยใช้สารหรือวัตถุดิบต่าง ๆ มาสครับใบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น
ผลักวิตามินเข้าสู่ผิว – ที่คลินิกของผมจะมีเครื่องผลักวิตามินอยู่ครับ โดยการใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆกระตุ้นให้วิตามินดูดซึมเข้าสู่ผิวของคุณได้ไวขึ้น รวมทั้งการนวดกดจุดบนใบหน้า เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้วิตามินกระจายตัวได้ทั่วมากขึ้นนั่นเองครับ
กรอผิวด้วยเครื่องมือ – เป็นการลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว โดยการใช้ผลึกของเพชรกรอผิวกำจัดผิวชั้นหนังกำพร้าออกไป เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ใบหน้ากระชับ และลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ครับ
ฉีดวิตามินผิว – อย่างที่กล่าวไปด้านบนครับ การฉีดวิตามินเข้าเส้นทำให้คุณได้รับวิตามินในปริมาณที่สูงขึ้น เนื่องจากไม่ต้องผ่านกระเพาะและลำไส้ก่อนที่จะดูดซึมนั่นเองครับ คุณเลยจะได้รับคุณประโยชน์จากวิตามินที่ฉีดเข้าไปได้เต็มที่มากกว่าการรับประทานครับ
ลอกหน้าด้วยเลเซอร์ – เป็นวิธีการรักษาผิวหน้าที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าวิธีอื่น ๆ โดยแพทย์จะใช้เลเซอร์ลอกผิวหน้าเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งช่วยให้ผิวหน้าที่โทรมและหมองคล้ำกลับมาสดใสอีกครั้ง โดยมีข้อควรระวังอยู่ที่ คุณจะต้องหลบแดดหลังจากการฉายแสงประมาณ 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากหน้าผิวที่ถูกลอกออกไปนั้นยังบอบบาง จึงไวต่อแสงแดดมากเป็นพิเศษนั่นเองครับ

ทุกๆคนคงรู้จักเจ้าวิตามินซีกันดีอยู่แล้วใช่ไหมครับ ก่อนหน้านี้วิตามินซีจะเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างว่าเป็นตัวที่ช่วยให้ผิวขาว ผ่องใสและมีสุขภาพดีใช่ไหมครับ แต่พอหลังจากการระบาดของ โควิด-19 มานี้ คนก็เริ่มพูดถึงการใช้วิตามินซีในการเสริมภูมิ ป้องกันการติดเชื้อมากขึ้น วันนี้ผมมาเล่าเรื่องน่าสนใจและวิธีใช้วิตามินซีให้ได้ประโยชน์สูงสุดที่หลายๆท่านอาจจะยังไม่รู้ให้อ่านกันครับ
อ่านต่อวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสร้างพลังงาน, การทำงานของภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท และการทำงานทางจิตใจอีกด้วยนะครับ (การขาดวิตามินก็สามารถทำให้เราสุขภาพจิตเสียได้เช่นกันนะครับ) ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินซีที่เพียงพอสามารถลดความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียได้อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ วิตามินซี สามารถช่วยฟื้นฟู วิตามินอี ที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอณุมูลอิสระเช่นกัน ทำให้วิตามินอี นำกลับมาใช้งานกำจัดอนุมูลอิสระได้อีกครั้ง เรียกได้ว่านอกจากจะทำงานตัวเองแล้ว ยังเรียกเพื่อนมาช่วยกันทำงานอีกด้วย! เป็นคนดีจริงๆเลยนะครับ

วิธีการทานวิตามินซีให้ได้คุณค่าสูงสุด
- ทานพร้อมอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็น เพราะวิตามินซีจะถูกขับออกภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากร่างกายได้รับ ดังนั้นการรับประทานทั้งเช้าเย็นจะเป็นการรักษาระดับวิตามินซีในเลือดให้สูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาสุขภาพของเรานั่นเองครับ
- การทานวิตามินซีหลังอาหารสามารถช่วยสามารถช่วยผู้ที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาติเหล็กได้ เนื่องจาก วิตามินซีช่วยในการดูดซึมของธาติเหล็กจากอาหารที่เราทานเข้าไปนั่นเองครับ
- มีการศึกษาพบว่าการรับประทานวิตามินซี วันละ 2 เวลา จะช่วยให้ระดับฮิสตามีน สารที่ทำให้เราน้ำมูกน้ำตาไหลลดลงได้ถึงร้อยละ 40 เลยครับ ซึ่งจะเหมาะกับ การรับประทานเพื่อบรรเทาอาการแพ้ คัดจมูก น้ำมูกไหลครับ
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี ด้วยการทานร่วมกับแคลเซียม แมกนีเซียม และไบโอฟลาโวนอยด์
- สัญญาณวิตามินซีเกิน คือ อาการท้องเสีย ซึ่งอาจเกิดได้กับคนที่ทานวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก ๆ เช่น 8000 มิลลิกรัม ขึ้นไป (โดยปกติวิตามินซีทั่วไปจะมีขนาดเม็ดละ 500-1000 มก. เท่านั้น) ทั้งนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะมีอาการ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็สามารถย่อยวิตามินซีได้วันละหลายกรัมเลยทีเดียว
- ผู้ที่เป็นเบาหวาน ควรรับประทานวิตามินซีวันละ 1000 มก. เพราะวิตามินซีจะเข้าไปช่วยลดสารต้านอนุมูลอิสระและการอักเสบของหลอดเลือด อีกทั้งช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไตวายอีกด้วย
วิตามินซีมีจุดอิ่มตัวในการดูดซึม
การรับประทานวิตามินไม่ใช่ยิ่งเยอะยิ่งดีเสมอไปครับ การดูดซึมของวิตามินซีมีจุดอิ่มตัวเช่นกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณในการรับประทานเข้าไป หากทานเกินจุดอิ่มตัวของการดูดซึม ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมไปใช้เพิ่มได้ มีการศึกษาพบว่า ในการรับประทานวิตามินซีครั้งละ 1,000-1,500 มก. ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้เพียง 50% เท่านั้นครับ เราจึงควรทานวิตามินซีในปริมาณที่ต่ำกว่า 1 กรัมต่อครั้งแต่ทานหลาย ๆ ครั้งจะดูดซึมได้ดีกว่าทานปริมาณมากในครั้งเดียวนั่นเองครับ
การทานวิตามินซีเพื่อผิวสวย
สำหรับการทานวิตามินซีให้ผิวสวย เสริมสร้างคอลลาเจนให้แข็งแรง ผิวขาวใสเปล่งปลั่ง โดยทั่วไปเราแนะนำให้ทานวิตามินซีในปริมาณ 1,000 มก. ต่อวันขึ้นไป และควรต้องเป็นวิตามินซีที่สกัดจากธรรมชาติเท่านั้น การจะรับวิตามินซีปริมาณสูง จะให้ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณหรือชะลอวัยเพื่อรับคำแนะนำในการรับปริมาณวิตามินซีที่เหมาะกับร่างกายของคุณ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและปลอดภัยกว่าครับ
เมื่อออกกำลังทางกาย ร่างกายคุณต้องการวิตามินซีมากขึ้น

อย่างที่เราทุก ๆ คนทราบกันครับ วิตามินซีจะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นี่เป็นเหตุให้ร่างกายต้องการวิตามินซีมากขึ้นเมื่อออกกำลังกายครับ เนื่องจากเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อของเรามีคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้เกิดความแข็งแรงและยืดหยุ่น ทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อทนต่อความตึง ยิ่งเนื้อเยื่ออ่อนมีคอลลาเจนมากเท่าไหร่ ก็จะสามารถออกกำลังได้มากขึ้น
เวลาออกกำลังนั้นกล้ามเนื้อของคุณจะต้องการสารอาหารมากขึ้นเพื่อการขยายตัวและซ่อมแซมในจุดที่เสียหายครับ ดังนั้นการมีวิตามินซีให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งคุณใช้ร่างกายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการวิตามินซีมากขึ้น เพราะฉะนั้น คนที่ทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวเยอะๆ ยืนนาน ๆ เดินทั้งวันไม่ค่อยได้พักจำเป็นจะต้องทานวิตามินเสริมช่วยร่างกายบ้างนะครับ
อีกเหตุผลหนึ่งทีผมแนะนำให้ผู้ที่ออกกำลังกายทานวิตามินซีก็เพราะ วิตามินซีมีบทบาทในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเป็นปกตินั่นเองครับ เพราะการใช้ร่างกายหนักหรืออกกำลังกายอย่างหักโหมจะส่งผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราต้องทำงานหนักไปด้วย ร่างกายจึงต้องการวิตามินซีมากขึ้นนั่นเองครับ การออกกำลังเยอะแต่ได้สารอาหารไม่พอตามที่ร่างกายต้องการ ก็ทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกันนะครับ
รู้แบบนี้แล้วก็ลองเลือกวิตามินซีมาช่วยในการดูบตัวเองกันดูนะครับ หรือหากใครต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินเพิ่มเติมสามารถทักเข้ามาปรึกษาหรือสั่งซื้อวิตามินซีคุณภาพสูงกับทางคลินิกได้ทางไลน์หรือ facebook ได้เช่นกันครับ